ร้อนมากนัก รักซะเลย - ร้อนมากนัก รักซะเลย นิยาย ร้อนมากนัก รักซะเลย : Dek-D.com - Writer

    ร้อนมากนัก รักซะเลย

    อากาศค่อนข้างร้อน..หนังสือที่อ่านมีเนื้อหาที่หนักมากจนความอดทนหมดไปเป็นระยะ ๆระหว่างนั้นเธอก็เดินเข้ามานั่งตรงโคนต้นไม้อีกต้นหนึ่งที่อยู่ถัดไป นั่นยิ่งทำให้สมาธิหลุดมากยิ่งขึ้น ผิวขาวของแก้มผ่อง....

    ผู้เข้าชมรวม

    381

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    381

    ความคิดเห็น


    1

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  ซึ้งกินใจ
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  2 พ.ย. 51 / 17:58 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ยังอีกหลายวันกว่าจะได้เวลาสอบวิชาที่กำลังอ่าน
      ฉะนั้นคงไม่เป็นไรมากนักถ้าจะใช้สายตาชื่นชมสิ่งสวยงามรอบข้าง
      แต่รู้สึกเธอจะผิดไป..คร่ำเคร่งกับตำราตรงหน้า..โดยลืมสิ้นไปว่ามีใครนั่งอยู่อีกคนที่โคนต้นไม้อีกต้นหนึ่ง
      ลืมไปว่าสวย ๆ อย่างเธอต้องมีคนชอบและคนมอง
      คนมองก็ลืมตัวมองจนเธอรู้ตัว
      แว่บเดียวของสายตาที่โฉบมาราวถูกมือไร้ตัวตนผลักให้ถลำลงสู่หุบเหว
      หุบเหวของความรู้สึกที่แปลกที่สุดในชีวิต
      สร้างความอักอ่วนเลือดฉีดจนร้อนหูร้อนหน้า
      แทบจะลืมหายใจไปเสียด้วยซ้ำ

      พระอาทิตย์ยามเย็นเร่งรัดแสงตะวันให้รอนแสงลับโลก
      หนังสือถูกทิ้งอย่างไม่ใยดีด้วยการหมกมุ่นอยู่กับคำถามว่าจะทำอย่างไรดี
      จะทำอย่างไรดีที่จะรู้จักเธอให้ได้
      จะเข้าไปทักและพูดคุย?
      จะแกล้งกระแอมและส่งยิ้ม?
      จะแกล้งชักดิ้นชักงอเพื่อให้เธอหันมาสนใจ?
      ทุกอย่างไม่กล้าทำสักอย่าง
      แล้วจะทำอย่างไร??

      ในหางตาที่แอบชำเลืองอยู่นั้นก็เห็นเธอปิดหนังสือในที่สุด
      ดูเหมือนเธอจะหันมามอง
      ดูเหมือนเธอจะเก็บของใส่เป้สีฟ้าเล็ก ๆ แล้วลุกขึ้นจากม้านั่ง
      ดูเหมือนเธอจะปัดกระโปรง
      ดูเหมือนเธอจะเดินไป
      เอ๊ะ..หรือเดินมา?

      "ลำบากนักก็หันมามองกันตรง ๆ ไม่ดีกว่าหรือ?"
      เธอเดินมาต่างหาก เดินมาพูดด้วยเสียงดุ ๆ ดังข้างหู

      ความละอายประดังขึ้นจนอยากจะแทรกร่างมุดเข้าใต้ดิน
      หน้าร้อนผ่าว..มุดไปมุดมากับไหล่ตัวเอง
      "ว่าไง?.."
      "เอ่อ.."
      "ฉันชื่อริน.."
      "อ่า.."
      "ฉันมีแฟนแล้ว.."
      "อะ.."
      "เสียใจด้วย.."

      ยังอ้าปากค้าง..มองเธอเดินฉับ ๆ ไปอย่างตะลึงงัน


      พระอาทิตย์ลับแสง..ยังคงไม่มีผลต่อการตะลึงที่ยังไม่สร่างจากหัวใจนั้น
      เธอพูดขึ้นก่อน..เธอจงใจพูดขึ้นก่อน
      เธอมาต่อว่า..ต่อว่าด้วยถ้อยคำที่เป็นคำถาม
      "ว่าไง?"
      และเธอก็บอก
      "ฉันมีแฟนแล้ว.."
      อีกว่า
      "เสียใจด้วย"

      โอ..
      เธอสวยเหลือเกิน!!

      กลับบ้านคืนนั้นเป็นไข้ปวดหัว
      นั่นเป็นคำอ้างที่บอกกับแม่และน้องเพื่อไม่ให้พวกเขามายุ่ง
      จะได้มีเวลาอ่านหนังสือที่ต้องสอบในอีกสามวันข้างหน้า
      นั่นเป็นคำอ้างกับตัวเอง
      อยากมีเวลาให้กับภาพประทับที่พิมพ์อยู่กลางใจ
      นี่ต่างหากที่อยากทำ

      นอนดิ้นกลิ้งไปมาบนเตียงไม่รู้ว่าจะกี่ตระหลบ
      ลืมตาเห็นหลับตาเห็นอยู่นั่นแล้ว..
      เธอเป็นใครมาจากไหนทำไมไม่เคยเห็นหน้าแต่รู้แค่ว่าเธอชื่อริน
      ยังรู้อีกด้วยว่าเธอมีแฟนแล้วและเธอก็เสียใจ
      ถ้อยคำสองสามคำนี้เวียนวนปนอยู่ในหัวอยู่นั่นแล้ว..
      รำคาญตัวเองเต็มที่จึงตัดสินใจเธอหาเพื่อน

      "ไอ้มิน.."
      "เรียกบิดาทำไมลูก?"
      "บอกข้าหน่อยสิว่าใครวะชื่อริน?"
      "ลูกหมาตัวที่สิบเอ็ดของนังเขียวใต้ถุนคณะ ถามไม?"
      "จบข่าว.."

      โทรฯ หาอีกคน
      "ไอ้จ้วง.."
      "พ่ออยู่นี่ลูก.."
      "บอกหน่อยสิว่าใครวะชื่อริน?"
      "รินเป็นชื่อต้นไม้ตระกูลหนึ่งล้มลุกคลุกคลานอยู่แถว ๆ บ่อน้ำข้างบ้าน มีลูกเป็นหวี ๆ มีพ่อเป็นแว่น ๆ .."
      "พอ..จบข่าว.."

      เหวี่ยงโทรศัพท์ทิ้งไว้บนโต๊ะ
      ทิ้งตัวกระแทกเตียงนอนอีกครั้งเสียงดังโครมจนแม่ตะโกนด่ามาจากชั้นล่าง
      พยายามหยิบหนังสือเล่มหนานั้นขึ้นมากางแต่ก็ไม่สนใจแม้ว่ามันจะถูกกลับหัว..
      "รินชื่อฉัน"
      "ด้วยใจเสีย"
      "มีแฟนฉันแล้ว"
      "ลำบากตรงมองนักดีกว่าไม่หรือ"
      ฯลฯ

      โทรศัพท์ช่วยฉุดกระชากให้หลุดออกมาจนบ่องงงวยงุนงัน
      "ไอ้รัน.."
      "คือพ่อเอ็ง.." จำได้ดีว่าเป็นไอ้สุดเดชเพื่อนอีกคน
      "เอ็งไปทำอะไรไว้?"
      "ฉี่รดต้นมะเขือไปสามต้น.."
      "มีคนเขาถามหา.."
      "หาเจอยัง.."
      "น้องเขาบอกว่าเอ็งทำของตกไว้จะเอาไปคืน.."
      "เอาไปวันก็ได้ข้าไม่ถือ.."
      "น้องรินเป็นน้องสาวของกุ้งแฟนข้า.."
      ร่างทั้งร่างดีดผึงขึ้นจากเตียงเมื่อได้ยินประโยคนั้น
      "งากร้ดงหากดากือ่ากนหบ"
      ประโยคต่อมาเลยจับใจความไม่ได้เลย!!

      คืนนั้นจึงเป็นคืนที่นอนไม่หลับ
      เหตุที่นอนไม่หลับเพราะตั้งใจจะอ่านหนังสือถึงเช้า
      เปิดหน้าที่ร้อยแปดสิบหกเสียงไอ้สุดเดชที่ชื่อเสียเรียบร้อยว่า "นายสำเดช" ก็ดังขึ้นที่พารากราฟที่สาม วรรคที่สิบสอง
      "กุ้งเป็นพี่สาวของริน.."
      "รินตามกุ้งมาที่มหาฯลัยของเรา"
      "ข้ากับกุ้งไปหาข้อมูลทำรายงานที่ห้องสมุด..รินไม่ชอบห้องสมุดเลยขอไปนั่งรออยู่ที่ริมสระน้ำ.."

      มาถึงบรรทัดนี้ก็พยายามปัดเสียงนั้นออกจากหัว..แต่อ่านไปถึงพารากราฟต่อไปไอ้สุดเดชก็พูดต่อ
      "พอค่ำรินก็กลับเข้ามาเรียกเราสองคนกลับบ้าน.."
      "เธอเล่าว่ามีไอ้บ้องสั้นที่ไหนไม่รู้ทำกระเป๋าตังค์ตกไว้.."
      "ข้าจำกระเป๋าเอ็งได้..ไม่เคยมีเงินอยู่เกินยี่สิบ"
      "พอเห็นบัตรประจำตัวของเอ็งข้าก็บอกให้น้องเขาโยนทิ้ง.."
      "พอน้องเขาโยนทิ้งพวกข้าก็พากันกลับบ้าน"
      "พอข้าไปส่งกุ้งกับน้องเขากลับบ้านข้าก็กลับบ้านข้า"
      "พอกลับบ้านข้าข้าก็ได้รับโทรศัพท์.."
      "น้องรินโทรฯมาบอกว่าให้บอกเอ็งให้ด้วยว่าจะให้ส่งคืนที่มหาฯลัยหรือที่ไหน?"
      "ข้าถามว่าคืนอะไรเธอก็บอกว่าคืนกระเป๋า"
      "ข้าก็เลยต่อว่าน้องเขาไปสองสามคำในฐานะไม่เชื่อฟังคำสั่งของข้า..ไปเก็บมาทำไมกระเป๋าห่วย ๆ พรรค์นั้น.."
      "น้องเขาบอกว่าไงรู้ไหม?.."

      สายตาและสมาธิก็ถูกดึงกลับมาสู่หนังสือตรงหน้า..
      อ่านไปได้สองสามตัวก็ต้องย้อนกลับไปอ่านใหม่เพราะไม่รู้เรื่อง
      กว่าจะย้อนไปถึงไอ้สุดเดชก็พูดต่อ
      "สงสารคนห่วย ๆ จะต้องไปทำบัตรห่วย ๆ ใหม่"
      "ข้างี้หัวเราะซ้า..55555"

      "ข้าบอกเอ็งให้อย่างนะไอ้รัน.."
      "น้องเขามีแฟนแล้ว..และแฟนก็โคตรดุ"
      "ฉะนั้นเอ็งจะทำอะไรก็นึกถึงหัวแฟ่บๆ ของเอ็งไว้มั่ง..มันจะตุงเพราะถูกกระสุนฝังใน"
      "พรุ่งนี้รินจะตามกุ้งไปที่มหาฯลัยอีกครั้ง.."
      "เปล่า..ไม่ใช่เพื่อเอ็ง..เขาจะเอาหนังสือไปคืนแล้วยืมเล่มใหม่..ถ้าเอ็งอยากได้กระเป๋าคืนก็ไปเอาที่เขา.."
      "ข้าไม่รับฝากหรอกโว้ย..ไม่อยากยุ่ง"
      "เดี๋ยวเอ็งจะหาว่าข้าเสือก..อุตส่าห์อ่อยกระเป๋าไว้"
      "อย่าเลย..ข้าไม่เชื่อเอ็งหรอก..5555"


      จึงเป็นอันว่าคืนนั้นไม่ได้นอน
      ลุกขึ้นจากที่นอนก็ไปมหาฯลัย
      ออกจากบ้านผ่านสายตาอันเบิกกว้างของแม่ที่ทำตาโตอ้าปากกว้างเพราะไม่เชื่อสายตา
      แล้วอุทานว่า "ไม่น่าเชื่อว่าอากาศร้อนจะทำให้คนเป็นบ้ากลายเป็นคนดีก็ได้เหมือนกัน"

      ถึงมหาฯลัยก็ไม่มีอะไรทำ
      กว่าจะได้พบเธอก็คงจะเย็น
      นี่ยังไม่แปดโมงเช้าธงยังไม่ขึ้นเสาให้เคารพเสียด้วยซ้ำ
      เลยเดินไปที่ริมสระน้ำนั่งลงที่เก่า
      คว้าหนังสือก็เล่มเก่าของมานั่งอ่าน
      อ่านได้แป๊บเดียวเพื่อนรุ่นน้องก็มาชวนไปเตะบอล
      บอกมันไปว่าไม่เตะหรอกจะอ่านหนังสือ
      มันบอกไม่เป็นไรแล้วก็วิ่งตื๋อไป
      ก็เลยปิดหนังสือแล้ววิ่งตามไป
      กะจะไปบ้องกระโหลกเพื่อนรุ่นน้องคนนั้นว่าไม่เป็นไรไม่ได้นะจำเอาไว้
      คราวหน้าคราวหลังจะได้รู้จักเป็นไรซะบ้าง
      บ้องเสร็จก็เตะบอล

      ขณะที่ซีดานโยนบอลมาให้
      ซิโก้อยู่ทางปีกซ้ายตะโกนโหวกเหวกเรียกบอล
      เจ้าเหยินน้อยยืนปากห้อยอยู่หน้าประตู
      พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นเธอเข้า
      เข่าเลยอ่อนกองอยู่กับพื้น

      เธอมายืนดูบอล
      เธอมายืนดูใครก็ไม่รู้เล่นบอล
      เธอยืนกอดหนังสือแนบอก
      ดวงตาเหม่อลอยเลยสนามบอลไปนู่น
      ลุกขึ้นปัดฝุ่นได้ก็กลั้นใจเดินไปหาเธอ
      เธอไม่มีทีท่าว่าจะเห็น
      เธอยังไม่มองมา..
      จนกระทั่งไปยืนอยู่ข้างๆ เธอ

      "ขอโทษครับ"
      เธอหันมา สายตายังคงสวยเหมือนเดิม หากไม่มีวี่แววความรู้สึกใดเลย
      "ไม่คิดว่าจะมาแต่เช้า.."
      เธอยังมองมาที่เรา..หน้าและดวงตาก็ยังไม่เปลี่ยนความรู้สึกนั้น
      "ขอบคุณที่ช่วยเก็บกระเป๋าให้.."
      คำนี้แหละเธอจึงยิ้ม
      "กระเป๋า?"
      "ก็กระเป๋าสตางค์ของผม"
      "กระเป๋าสตางค์ของคุณ?"
      "เอ๊ะ?"
      "ทำไมคะ?"
      "ก็ไอ้เดชมันบอกว่าคุณเก็บได้"
      "ไอ้เดช?"
      "สำเดช"
      "ใครคะ?"
      "เอ๊ะ?"
      "ทำไมคะ?"
      "ก็.."
      เธอยิ้มเท่าทัน
      "นี่ล่ะหรือ..วิธีจีบสาวของคุณ"
      หูเริ่มแดงอีกครั้ง..หน้าเริ่มชา
      "ขอชมว่าเห่ยดี.."
      แล้วเธอก็เดินจากไป
      "ไอ้เดช.."
      คำรามเสร็จก็แทบจะมุดดินไปโผล่ที่บ้านของมัน
      จะเตะซะให้หายแค้น

      แต่คำสารภาพของไอ้สุดเดชกลับทำให้เตะมันไม่ลง
      "ไม่ได้ข้าเอ็งจะได้คุยกับเธอเหรอวะ.."
      "ข้าแอบเห็นเอ็งนั่งมองน้องเขาอยู่เป็นนานสองนาน..ทั้งยังได้ยินเขาพูดอะไรกับเอ็งด้วย เห็นแล้วสงสารว่ะ.."
      "สีหน้าของเอ็งเหมือนเด็กถูกดุตอนฉี่รดที่นอน ข้าก็เลยเวทนา..อุตส่าห์คิดแผนนี้ให้เอ็ง"
      "กระเป๋าเอ็งน่ะข้าเก็บได้ตั้งแต่อยู่ในห้องเรียนแล้ว..ว่าจะคืนก็ลืม.."
      "เงินในกระเป๋าเอ็งมียี่สิบจริง ๆ นะโว้ย ข้าไม่ได้จิ๊ก.."
      "ข้าหวังจะให้เอ็งมีเรื่องคุยกะเขาแค่นั้นเอง.."

      ด้วยความปารถนาดีของมันทำให้ผมต้องอ้ำอึ้ง
      อึ้งอ้ำด้วยอาการกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
      วางหูจากมันแล้วก็เดินคอตกลับไปนั่งที่เดิม
      มองหนังสือเล่มเดิมแล้วกลืนน้ำลาย
      "เรามันน่าเวทนาจริง ๆ หรือนี่?"

      พอรู้อะไรเป็นอะไรแล้วเลยทำอะไรไม่ค่อยถูก
      ที่กะไว้ตั้งแต่เมื่อคืนว่าวันนี้จะขอบคุณเสียให้จั๋งหนับแล้วแลกเบอร์โทรศัพท์ไว้คุยกันก็มีอันพังทลาย
      เธอไม่ใช่น้องสาวของกุ้งแฟนของไอ้สุดเดช
      เธอเป็นใครก็ไม่รู้ที่ไม่รู้จักมาก่อน
      แต่เอ๊ะ!
      แล้วทำไมไอ้เดชถึงรู้ว่าเธอชื่อริน
      ทำไมมันถึงรู้ว่าเธอมีแฟนแล้ว
      ทำไม?..

      โทรศัพท์รุ่นไม่มีกล้องไม่มีฟังก์ชั่นไม่มีอะไรเลยนอกจากตัวเลขและหน้าจอไว้โทรออกและรับเข้าจึงถูกใช้งานอีกครั้ง
      "เอ็งบอกข้ามาดี ๆ ว่าเธอเป็นใคร?"
      "อ้าว.." มันอุทานได้เสแสร้งมาก
      "เอ็งถึงได้รู้ว่าเธอชื่อรินและมีแฟนโคตรดุ"
      "อ้าว.."
      "เอ็งจะอ้าวไปถึงดาวพลูโตเลยรึไง?"

      วางหูโทรศัพท์ด้วยข้อมูลที่เต็มหัว
      เธอเป็นรุ่นน้องต่างคณะที่มีแต่ใครก็ไม่รู้คนนี้โง่ไม่รู้จักคนเดียว(ก็คนเล่านี่แหละ)
      เธอเป็นดาวของมหาฯลัยรุ่นพี่รุ่นน้องรุมจีบตึม
      ใครก็รู้ว่าเธอชื่อริน ใครก็รู้ว่าเธอมีแฟนแล้ว
      แฟนของเธอเป็นเด็กนอกรั้ว..ขี่เก๋งคันงามไม่ซ้ำคันมารับไปกลับอยู่บ่อยๆ
      ใครก็รู้ว่าแฟนของเธอมีพ่อเป็นนักการเมืองที่ไม่ยอมให้ใครเหยียบหัวแม่เท้าของลูกรอดไปได้
      ดังนั้นใครก็รู้ว่าไม่ควรไปยุ่งกับเธอ
      มีแต่ใครไม่รู้คนเดียวเท่านั้นที่โง่จริง ๆ
      (ก็คนเล่านี่แหละ)


      ยิ่งเล่ายิ่งซับซ้อนกลับมาเล่าสำนวนเดิมจะดีกว่า
      เรื่องก็เป็นประมาณว่าจากนั้นก็ได้เจอเธออีกหลายครั้ง
      แต่ไม่กล้าเข้าไปทักกลัวถูกตอกกลับหน้าหงายหน้าคว่ำหูแดงตะแคงข้างเดินอย่างเคย
      เพียงแต่จ้องมองเธอขณะนั่งอ่านหนังสือหรือยืนเหม่อมองฟ้าเท่าที่โอกาสจะอำนวย
      ด้วยอาการที่ถูกเรียกว่า "แอบ"
      หลบหลังต้นไม้มั่ง หลังป้าขายลูกชิ้นปิ้งมั่ง
      หลังนังเขียวลูกดกมั่ง
      จนวันสอบมาถึงก่อนปิดภาคนั่นแหละถึงได้กล้าตัดสินใจ
      ตัดสินใจที่จะเข้าไปคุยกับเธอ
      เธอที่กำลังนั่งซึมอยู่เพียงคนเดียวบนโต๊ะหินอ่อนใต้ต้นหูกวางหลังคณะ
      ดูเหมือนว่าเธอกำลังนั่งร้องไห้เสียด้วยนะนั่น!!

      ข้อมูลที่ไอ้สุดเดชให้มาไม่บอกว่าทำไมเธอถึงไม่มีเพื่อนอยู่ข้าง ๆ เหมือนใครเขา
      ทำไมเธอไม่ยิ้มแย้มแจ่มใสเหมือนใครเขา
      ทำไมเธอจึงต้องชอบนั่งซึมเหม่อมองฟ้ามองเมฆมองโน่นมองนี่อยู่บ่อยๆ
      และยิ่งไม่ได้บอกเลยว่าเธอทำไมต้องร้องไห้

      น้ำตาหญิงเป็นนำกรดกัดกินใจชายอย่างแท้จริง
      ดวงตาฉ่ำหวานแดงกร่ำนั้นแทบทำให้หัวอกสองศอกเกือบครึ่งยุบกร้วมสลายเป็นธุลีไปได้กับตา
      จึงเดินก้มหน้างุด ๆ ตรงเข้าไปอย่างตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าเป็นไงก็เป็นไง
      หรือเป็นไงจะเป็นกันก็ให้มันรู้กันไป

      "คุณอีกแล้ว?"
      "ใช่..ผมอีกแล้ว"
      "มีอะไร?"
      "ไม่มี.."
      "แล้ว?"
      "แค่อยากมานั่งเป็นเพื่อน.."
      เธอนิ่ง..มองตรงมานิ่ง ๆ แต่น้ำตาของเธอไม่นิ่ง..ไหลออกมามากเสียกว่าเก่า
      "ขอบคุณ..แต่อย่าเสียเวลาเลย..มันไม่มีประโยชน์หรอก"
      "เวลาของผมเยอะ..ใช้ไปในเรื่องไม่มีประโยชน์ซะบ้างก็ดีอยู่เหมือนกัน.."

      เธอพยายามฝืนยิ้ม
      "เพื่อความปลอดภัยของคุณเองและของฉัน คุณไม่ควรจะมาวนเวียนอยู่ใกล้ฉันตลอดเวลาอย่างนี้.."
      "คุณรู้?"
      "ก็รู้..มีหลายคนแล้วที่พยายามอย่างคุณ..แต่ทุกคนก็ต้องจากไป.."
      "เพราะเขา?"
      "ใช่.."

      คำตอบนั้นทำให้ตัดสินใจลุกขึ้นยืน
      เดินออกมาเงียบ ๆ
      มองซ้ายขวา
      มองอยู่พักหนึ่งถึงได้เจอ
      ร้านไอติมอยู่นั่นเอง

      ไอ้ติมสองโคนถูกถือติดมือมาขณะนั่งลงตรงข้ามเธอ
      มือหนึ่งถือไว้แล้วส่งเข้าปาก อีกมือหนึ่งถือไว้เฉย ๆ
      ไอ้ติมอร่อยเหมือนกันทั้งโลก คือหวานและก็เย็น
      จึงกินด้วยความเอร็ดอร่อย..
      เธอมองดูเฉย ๆ

      กินหมดทั้งสองแท่งแล้วจึงเพิ่งรู้ว่าเธอมองอยู่
      "อร่อยดี.."
      "บอกฉันทำไมไม่ทราบ?"
      "เหมือนกับที่คุณบอกเรื่องเขากับผมนั่นแหละ..บอกผมทำไมไม่ทราบ?"

      น้ำตาเธอเหือดแห้ง..ความสวยงามของวงหน้าที่ถูกออกแบบมาอย่างเยี่ยมยอดนั้นกลับมาสวยอย่างเดิม
      "คุณไม่เข้าใจ"
      "ไม่จำเป็นต้องเข้าใจ..ก็ผมไม่ได้ต้องการจะจีบคุณ.."
      สีหน้าของเธอเปลี่ยนไปนิดเดียว..นี่ถ้าไม่สังเกตรับรองว่าไม่เห็น
      "ฉันดีใจที่ได้ยินอย่างงั้น.."
      "ผมดีใจเสียยิ่งกว่าอีก"

      ยกมือขึ้นเช็ดปากที่เปื้อนคราบไอ้ติม..เป็นปฏิกริยาตอบสนองเพื่อปกปิดการพูดปด
      "ยอมรับว่าแต่แรกตั้งใจอย่างนั้นจริง ๆ แต่พอรู้ว่าคุณมีแฟนแล้วผมก็เปลี่ยนใจ.."
      "ก็ควรจะเป็นอย่างงั้น.."
      "แต่เราก็เป็นเพื่อนกันได้.."
      "ฉันยังไม่เคยเห็นว่าหญิงกับชายจะเป็นเพื่อนกันได้จริง ๆ ซะที"
      "คุณจะได้เห็น ณ บัดนี้"

      เธอนั่งนิ่งอีกครู่..ลมร้อนพัดวูบผ่านผมระคอของเธอปลิวไสว..ไรผมระอยู่ที่แก้มขาวผ่องอมชมพูนั้น
      มีเพื่อนสวยอย่างนี้ใครจะอดใจไหว?
      ชักไม่แน่ใจที่ตนเองพูดไปซะแล้วสิ..
      มองอย่างอื่นดีกว่า..

      "ดีใจที่ได้คุยกันดี ๆ" เธอรวบหนังสือและสิ่งของที่วางอยู่บนโต๊ะ
      "ไม่ดีตรงที่คุณต้องรีบไป"
      "ก็ไม่เห็นคุณคุยอะไร"
      "จะให้คุยอะไรก็เราเพิ่งได้คุยกันจริง ๆ เป็นครั้งแรก"
      เธอถอนใจ สายตามีแววยิ้ม ๆ
      "คุณนี่กวนดี.."
      "ด่าหรือชม?"
      "แล้วแต่จะคิด.."
      "เราคงได้คุยกันอีก?"
      "ถ้าคุณเข้ามาคุยอย่างเมื่อกี๊ และถ้าคุณไม่กลัว..เอ่อ..เขา เราก็คงจะได้คุยกันอีก"

      ต่างคนต่างลุกขึ้นยืน..
      "ถามสักอย่างได้ไหม?"
      "ทำไมฉันถึงร้องไห้?"
      "เปล่า..จะถามว่าเมื่อไรคุณจะเลิกร้องไห้?"


      คำตอบไม่มีสำหรับคำถามนั้น
      หรือจะพูดอีกทีว่าความเงียบคือคำตอบของคำถามนั้นก็คงไม่ผิด
      ผิดตรงที่ความเงียบนั้นติดมารบกวนจิตใจตลอดเวลา
      แม้แต่ตอนอาบน้ำ
      อาบน้ำไม่อร่อยเลย..
      เฮ้อ..

      วันเวลาผ่านไปอย่างร้อนรุ่ม
      ร้อนรุ่มเพราะอากาศร้อน..ร้อนรุ่มเพราะหัวใจร้อน
      ใจร้อนเพราะอยากจะเจอเธอ
      กว่าจะเปิดภาค..หลายวันเหลือเกิน
      วันว่างจึงไปไม่รู้จะไปไหน ตรงเข้ามหาฯ ลัยและไปนั่งอยู่ที่ม้าหินข้างริมน้ำ
      นั่งมองม้าหินข้าง ๆ ที่เธอเคยนั่ง
      ทำได้แค่นั้นเอง..

      แสงอาทิตย์ยามบ่ายแผดเปรี้ยงสะท้อนผิวน้ำ
      มองจนแสบตาเลยหันไปมองสนามฟุตบอลแทน
      ไอระยับเต้นระยิบส่ายเอวส่ายหัวให้เห็นเป็นริ้ว ๆ ขึ้นมาจากสนามดิน
      เมื่อก่อนมีหญ้าปกคลุมตอนนี้มีแต่ฝุ่นและก็ทราย
      ลูกฟุตบอลยังนอนนิ่งอยู่ริมสนาม
      ชีวิตชีวาในมหาฯลัยหาได้ยากในช่วงปิดเทอม
      ลิบ ๆ โน่นนังเขียวที่ลูกยังไม่โตนอนให้นมลูกอยู่ใต้ร่มไม้
      มันคงหิวกว่าทุกทีเพราะคงไม่มีใครมีแก่ใจจะหยิบยื่นเศษอาหารให้มันเหมือนวันเปิดเรียน
      นึกแล้วก็สงสาร
      และง่วงนอน

      เหงื่อซึมเต็มแผ่นหลังหลังจากกลับมาจากออกไปซื้อของที่ร้านค้าตรงข้ามมหาฯ ลัย
      นังเขียวกินจุมากและไม่รู้คุณค่าของหมูปิ้งที่มันกิน
      แทนที่จะค่อย ๆ เคี้ยวให้สมกับความอร่อยหอมหวานกลับงับ ๆ สองทีเกลี้ยงไม้
      ขณะทำปากจุ๊ ๆ ให้มันค่อย ๆ กินก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้น
      "ไม่น่าเชื่อ.."
      คุ้นหู..จดจำเสียงนี้ได้ตลอดชีวิต
      "คุณซื้อหมูเลี้ยงหมาเลยหรือนี่?"
      หันขวับกลับไปก็ต้องตะลึงตัวชา..
      นางฟ้ามาปรากฎกายที่ตรงหน้าอย่างไงอย่างงั้น

      เสื้อยืดประหยัดผ้ากระชับทรวดทรงหญิงแรกรุ่นให้เด่นชัดจากพื้นหลังที่เจิดจ้าด้วยแสงตะวัน
      นี่ถ้าเธอมีปีกเธอคงเป็นนางฟ้าใส่เสื้อแขนกุดเป็นแม่นมั่น
      หน้าไม่แต่งแต้มสีสันแดงชมพูคิ้วเข้มวงโค้งนั้นเป็นสีธรรมชาติล้วน
      เหงื่อผุดซึมที่จอนผมและจมูกโด่งเล็ก..
      เธอยิ้มเผยไรฟันขาวแจ่ม
      "ฉันเอง"

      หัวใจฟองฟูแทบจะพาให้ตัวลอยละล่อง
      นี่ล่ะหรือคนที่มีรัก..ทำให้หัวใจมีสุขได้ขนาดนี้เชียว?
      หูอื้อตาลายไปพักใหญ่...กว่าจะปลดยิ้มนั้นออกจากหัวใจของตัวเองได้
      เธอยิ้มให้เราแล้ว..
      เย้...

      คนที่ถูกคิดถึงอยู่ที่เวลาและนาทีถามเสียงใส
      "คุณต้องมาเลี้ยงหมาทุกวัน?"
      เปล่าซะหน่อย..แต่ตอบไปว่า
      "ครับ.."
      "ใจบุญดีจัง..หน้าไม่ให้เลยนะนี่"
      คงเห็นหน้าที่เสียไปเล็กน้อย เธอจึงหัวเราะ
      "ล้อเล่นน่ะ..มาทำอะไรคะวันนี้?"
      "ไม่รู้เหมือนกัน"
      "อ้าว.."
      "จริง ๆ แล้วมาเพราะอยากมา..ไม่รู้จะอยู่บ้านว่าง ๆ ไปทำไม"
      "เหมือนริน..เอ้อ..ฉันเลย..อยู่บ้านเบื่อจะตาย"
      "ผมรันครับ.."
      "ชื่อคล้ายกันดี"
      "ขอให้ดีอย่างว่า.."
      "ดีอย่างว่าน่ะดีอย่างไหน?"
      "อย่างไหนก็ได้ขอให้ดี.."
      เราเดินคุยกันไปยังริมสระน้ำ
      "วันนี้ว่างหรือครับ?"
      "เย็นไม่ว่าง..แต่ตอนนี้ว่าง"
      เย็นเธอคงมีนัด..ใจอยากถามแต่ปากไม่ถาม
      "แล้วทำไมถึงแวะมามหาฯลัย"
      "ไม่รู้จะไปไหน..เบื่อเดินห้าง เข้ามานั่งอ่านหนังสือในนี้ดีกว่า.."
      "ขยันจริง"
      "เปล่า..นิยายน่ะ.."
      "ไม่ยักรู้ว่าชอบอ่านนิยาย.."
      "อ่านหมดแหละ..ริน..เอ้อ.."
      "ตามสบายเถิดครับ"
      "รินชอบอ่านหนังสือ มีโลกส่วนตัวเงียบ ๆ"
      "ไม่น่าเชื่อ.."
      "ทำไม?"
      "คนอย่างคุณริน..ไม่มีเหตุผลที่ต้องทำอย่างงั้น"
      "ใครจะรู้เหตุผลของใครได้อย่างแท้จริง.."
      "นั่นสิ.."
      "เรียกรินเฉย ๆ ดีกว่า.."
      "ได้เลย"

      นับจากวันนั้นเราได้คุยกันแทบทุกวัน
      ทุกครั้งที่คุยต้องบอกกับตัวเองก่อนว่าต้องคุยในฐานะเพื่อน
      ยากนะ..แต่ทำได้..
      โกหกตัวเองไปวัน ๆ ง่ายจะตาย

      ความรู้สึกที่ถูกกดลึกอยู่ใต้หัวใจเหนือม้ามเล็กน้อยนั้นนับวันจะบวมขึ้นราวมะเร็งร้าย
      มันอึดอัดคับข้องโป่งไปโป่งมาจนร่างกายผ่ายผอมซูบโทรม
      จนแม่ต้องเอ่ยทัก
      "ฟันผุหรือลูก..ถึงกินอะไรไม่ค่อยได้"
      "ปล่าวครับ"
      "ลิ้นเป็นแผลล่ะสิ..เอาน้ำตาลปี๊บป้ายซะสิลูก"


      ทุกวันที่ได้คุยกันเธอยังคงเว้นช่องว่างระหว่างกันไว้ได้ราวกับเอาไม้เมตรมาค้ำไว้
      ไม่มีวันจะเข้าใกล้ได้มากกว่านี้
      ถึงแม้จะเข้าได้..ก็ใครล่ะที่รีบถอยออกมาชนิดหายใจหายคอไม่ทัน
      ก็คนเล่านี่แหละ

      เหตุผลของการถอยไม่มีอะไรมากไปกว่าคำที่พ่อสอนก่อนตาย
      "หนึ่งอย่าเป็นหนี้
      สองอย่าเป็นคนค้ำ
      สามอย่าไปซ้ำลูกเขาเมียใคร
      ชีวิตจะได้อยู่เย็นเป็นสุข.."

      เธอมีแฟนแล้ว..
      ฉะนั้นเธอต้องมีเหตุผลในการที่เธอจะมีแฟน อย่างน้อยเธอก็ต้องรักเขาคนนั้น คงไม่มีใครโง่หรือบ้าพอที่จะให้คนที่ไม่รักมาเป็นแฟน
      เขาเองก็คงรักเธอ..ที่เคยได้ยินมาก็การันตีอยู่แล้วว่าทั้งรักทั้งหวงอย่างกะช้างหวงอ้อยที่เข้าปากเกือบถึงกระเพาะ
      หากไปพรากเขาหรือเธออกจากกันก็คงสร้างความทุกข์ยากให้กับเขามากพอที่จะเดือดร้อนมาถึงกะบาลของเราได้
      อันนั้นไม่สำคัญเท่ากับว่าเราต้องให้เกียรติความรู้สึกของทั้งสองที่เขาร่วมกันปั้นร่วมกันสร้างมา
      อยู่ ๆ จะไปทำลายได้อย่างไร
      สุภาพพระบุหรุดเขาไม่ทำกัน

      ทุกวันนี้เลยอยู่บ้านไม่ค่อยได้..
      อยู่ได้ไงก็ร้อนตับจะแตกม้ามจะสุก
      ไม่ไปมหาฯลัยก็ต้องไปเดินเล่นกับเพื่อนเพื่อให้มีเรื่องอื่น ๆ เข้ามาในหัวซะบ้าง
      ไม่ได้ปล่อยให้มีแต่เรื่องของเธอ
      ที่ไหนได้..ไอ้จ้วงตอกเสียหน้าหงาย

      "เอ็งกำลังถูกแต่งตั้งให้เป็นกิ๊กเธอเข้าให้แล้วไม่รู้ตัวหรือไง..ไอ้โง่เอ๊ย"
      ประโยคนี้ทำเอาหัวใจตกวูบแทบล้มทั้งยืน

      "กิ๊ก!!"
      เป็นคำที่ฟังแล้วไม่ขึ้นหู เคยบอกตัวเองไว้เสียด้วยซ้ำว่าชาตินี้อย่าได้หวังว่าจะยอมไปเป็นกิ๊กใคร
      ที่ไหนได้กลับกลายเป็นไปแล้วอย่างไม่รู้ตัว..
      ไม่รู้ตัวเลยจริง ๆ

      กิ๊ก..เป็นสัตว์ประเสริฐชนิดหนึ่ง
      ที่หน้าด้านหน้าทนเหนือสัตว์ยี่ห้ออื่น
      รับได้ทุกสภาวะไม่ว่าใครจะมาไม้ไหน
      เล่นได้ทุกบทบาทไม่ว่าจะบทเลิฟซีนหรือบทคนรับใช้
      เป็นสัตว์ที่มีต่อมความรู้สึกตื้นไม่รับรู้และแยกแยะไม่ได้ว่าอันไหนจริงอันไหนปลอม
      เป็นสัตว์ที่มีต่อมศีลธรรมตันไม่รับรู้และแยกแยะว่าอันไหนควรอันไหนไม่ควร
      ใครเป็นกิ๊กต้องกลั้นใจตายสถานเดียว
      จะหลายสถานก็ได้ถ้าตายได้หลายครั้ง

      นั่นคือบทสรุปของกิ๊ก..
      ของคนที่กำลังตกอยู่ในฐานะกิ๊ก
      น่าคลั่งใจให้ตายไปนักต่อนัก

      กลับบ้านด้วยอาการซึมกะทือทั้งที่ไม่เคยเห็นนกถึดทือ
      คืนนั้นถึงกับจับไข้เนื้อตัวร้อนรุ่มครั่นเนื้อตัวจนต้องกินยา
      อย่าหาว่าเว่อเลยแต่เป็นอย่างนั้นจริง ๆ
      ที่เป็นอย่างนั้นจริง ๆ เพราะบอกตัวเองว่าต้องตัดใจจริง ๆ
      ตัดให้ได้จริง ๆ
      ไม่รกไม่รักมันแล้ว..
      พอกันที!!

      ซึมได้ที่เพราะฤทธิยาและฤทธิไข้
      กดโทรศัพท์ไปหาเธอเพื่อจะบอกถึงการตัดสินใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต
      เธอไม่รับสาย..จำเป็นต้องโทรใหม่
      ยังคงไม่รับสาย..งั้นก่อนนอนค่อยโทรอีกครั้ง
      ก่อนนอนโทรอีกครั้ง..
      สัญญานดังจนสายเกือบหลุดเธอถึงได้รับ
      เที่ยงคืนครึ่งแล้วน่ะนี่
      "รันเหรอคะ.."
      เสียงปนสะอื้น
      "รินเป็นไร?"
      "...." มีแต่เสียงร่ำไห้
      เสียงนี้เป็นยางลบมะหัดสะจอรอหันการันย์ยอสามารถลบสิ่งที่ตั้งใจไว้นั้นได้จนหมดสิ้น
      "มีอะไรให้ผมช่วยได้บ้างไหม?"
      เธอตอบมาด้วยเสียงที่เกือบจะเหมือนปล่อยโฮ
      เรื่องคงร้ายแรงไม่เบา..

      เสียงพูดทางโทรศัพท์จับใจความไม่ค่อยได้
      การพูดไปร้องไห้ไปคงเป็นเรื่องถนัดของใครหลายคน
      แต่สำหรับรินแล้วคงไม่ถนัดเท่าไร
      ต้องถามย้ำหลายครั้งหลายหนว่าเป็นอะไร
      เธอถึงได้บอกออกมา

      "มีปัญหากันนิดหน่อย.."
      "แล้วทำไมต้องร้องไห้ขนาดนี้?"
      "ก็.."
      "ไม่อยากเล่าก็ได้.."
      "เปล่า..แค่ไม่อยากให้รู้"
      "งั้นหรือ?"
      ชักน้อยใจ
      "เขาเข้าใจรินผิด.."
      "ไม่ต้องเล่าหรอก.."
      "รินมีเขาคนเดียว..ไม่เคยมีใคร"
      คำพูดนี้เจ็บลึกดีเหลือเกิน
      "เขาคาดคั้นจะให้ยอมรับให้ได้..ทั้งที่รินไม่เคยคิดอะไรกับใครทั้งนั้น.."
      ยังจะย้ำอีก
      "เขาขอเลิกกับรินแล้ว.."
      แปลกที่คำนี้กลับไม่ทำให้รู้สึกดีขึ้น
      "เขาเป็นอย่างนี้ทุกครั้งที่ทะเลาะกัน..แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อน ๆ"
      "ไม่เหมือนยังไง"
      "รันอย่ารู้เลย"
      แง่ง...


      ขณะคุยนั้นนอนอยู่บนที่นอน..
      ปลายเท้าเป็นหน้าต่างบานเล็กติดมุ้งลวด
      ผ้าม่านสีตะหมุ่ยสั่นไหวรับแรงลม
      เมฆบังดวงจันทร์อยู่ครึ่งลูก..ดูแล้วคล้ายภาพวาด
      ภาพวาดของเด็กป.1
      สมกับบรรยากาศที่ไม่โรแมนติกเอาซะเลย

      วางหูไปด้วยหัวใจหน่วงหนัก
      มันหนักไปทั้งตัวและทั้งหัว
      ดูเหมือนไข้จะกลับ..
      มึนและหมดแรง
      พาลน้ำตาจะไหลซะดื้อ ๆ

      "เขาบอกเรื่องนี้จะถึงคุณพ่อ"
      "คุณพ่อรินเป็นหนี้คุณพ่อของเขาหลายล้าน"
      "เขาเป็นคนช่วยผลัดผ่อนมาให้ตลอด"
      "รินไม่อยากให้คุณพ่อเดือดร้อน.."
      "รินจะทำอย่างไรดี?"

      เดินไปเดินมาในห้องท่ามกลางความมืดและแสงจันทร์กระป๋องลูกนั้น
      เดินจนต้องถามตัวเองว่าจะเดินทำไม
      จึงต้องทิ้งตัวลงนอน
      นอนเบา ๆ เพราะกลัวแม่ด่า
      รู้สึกเคืองตาจึงต้องต้องขยี้
      ไม่ได้ร้องไห้มานานแค่ไหนแล้วนี่??

      "รินไม่เคยรักเขา..ไม่เคยคิดจะรักคน ๆ นี้เลยจริงๆ"
      "รินรู้จักเขาเพราะคุณพ่อ.."
      "นับแต่นั้นรินก็ไม่เคยมีความสุขอีกเลย.."

      ความสงสารประดังขึ้นมาอีกครั้ง
      ผู้หญิงคนที่คิดถึงทุกวินาทีคนนี้ช่างอาภัพเสียจริง
      ทำไมไม่รู้จักไปชั่งน้าเพ็ญป้าแพรวเสียบ้าง
      ก่อนวางหูยังมีคำพูดเรียกน้ำตา
      "ขอบคุณมากนะ..รันเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของริน.."

      เคยคุยกันครั้งหนึ่งวันไหนจำไม่ได้
      ว่า"รัน"แปลว่าวิ่งแล้ว "ริน" แปลว่าอะไร
      เธอตอบว่าจะแปลว่าอะไรนอกจากรินน้ำ
      "น่าจะแปลว่าหายใจรวยรินมากกว่า"
      "ฟังเหมือนใกล้ตาย"
      "งั้นแปลว่ารินเหล้า..ดูมีชีวิตชีวาขึ้นหน่อย..เวลาเมางี้หนุกจะตาย.."
      "หรือไม่ก็แปลว่าน้ำตารินรดหัวเข่า"
      "ทำไมแปลยังงั้น เศร้าไปมั๊ง"
      "ความเศร้าไม่มีมากไม่มีน้อย..ถ้าเศร้าก็ถือว่าเศร้า..เศร้าแล้วจะให้หัวเราะได้ยังไง?"
      "เปลี่ยนเรื่องดีกว่า.."

      มาถึงตอนนี้ถึงได้รู้ว่าความหมายของเธอแปลว่าอะไร
      เธอเศร้ามาตลอด..เหม่อทุกครั้งที่ควบคุมตัวเองไม่ได้
      ความสวยของเธอถูกจำกัดไว้เพียงแค่คำว่า
      "รินกลัวพ่อเดือดร้อน"
      ใครล่ะจะไม่เศร้า

      บางครั้งเมื่อได้นั่งทานข้าวด้วยกัน..
      เธอกินน้อยจนผิดสังเกต
      มุกแม่เลยถูกนำมาใช้
      "ฟันผุ?"
      "เปล่า?"
      "งั้นลิ้นเป็นแผล ต้องเอาน้ำตาลปี๊บมาป้าย"
      เธอทำหน้าแปลกใจ
      "หายแน่เหรอ?"
      "ไม่รุ..แต่อร่อยดี"
      เธอยิ้ม
      "มีอะไรไม่บอกกันบ้าง..ผมอาจช่วยได้"
      "อะไร?"
      "ที่ทำให้รินกินไม่ได้นอนไม่หลับอยู่อย่างนี้.."
      "โอย..ใครบอกว่าไม่หลับ..หัวถึงหมอนก็หลับปุ๋ย"
      "แสดงว่าไม่ยอมบอก?"
      "มีอะไรหลายๆ อย่างที่บางครั้ง บอกเล่าออกมาแล้วไร้ประโยชน์"
      "ทำไม?"
      "ไม่มีใครจะช่วยได้ จะพูดออกมาทำให้เสียเวลา"
      "ยอมเสียเวลาในเรื่องพวกนี้ซะบ้าง บางครั้งอาจจะทำให้ชีวิตเราดีขึ้น.."
      "จริงเหรอ?"
      "ลองดูสิ.."
      "เรียกเก็บตังค์เถอะ รินต้องไปแล้ว"
      เป็นซะงั้น

      พระอาทิตย์โชว์ยิ้มให้เห็นจะ ๆ คาตา
      เวลาที่ผ่านมาทั้งคืนทำให้พบคำตอบของตัวเอง
      จะช่วยอะไรเธอได้นอกเสียจากช่วยให้เธอสมหวัง
      คำพูดสุดท้ายของเธอยังคงอยู่
      "รินจะยอมให้เขาเลิกกับรินไม่ได้.."
      สิ่งที่ทำได้ก็คือช่วยเธอ
      จะช่วยอย่างไรค่อยว่ากัน

      ใครเคยตกอยู่ในสภาพเช่นนี้บ้าง
      รักหมดหัวใจ..แต่ต้องปล่อยเธอไปตามทาง
      ดาวจะโคจรบรรจบฟ้า..ดินไม่ควรไปกั้นขวาง
      ชีวิตถูกกำหนดเส้นทาง..จากอะไรบางอย่างที่กำหนดไว้แล้ว
      อะไรบางอย่างที่กำหนดให้เราต้องเดินบนทางที่ขนานกัน
      ขอถาม
      อะไรฟะ?

      เราได้พบกันในเย็นวันนั้น
      เธอตาบวม..คนสวยตาบวมก็ยังสวย
      ร้านไอติมเลขเจ็ดเป็นที่รองรับเรื่องราวของเรา
      คำถามแรกที่ยิงตรงประเด็น..
      "แน่ใจหรือในสิ่งที่รินทำ"
      เธอตักไอ้ติมสีชมพูค้างไว้
      แล้วหย่อนลงไปในถ้วยอีกครั้ง
      ย้ำด้วยการจ้ำ ๆ ช้อนลงไปในก้อนไอ้ติมจนเละเทะ
      น่ากินตรงไหนนั่น?

      "แล้วจะให้ทำอย่างไร?"
      "เมื่อไม่รักก็ไม่รัก..ทำไมต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ทำผิด"
      "จะอธิบายให้ใครเข้าใจได้ในความจำเป็น"
      "นี่มันยุคไหนแล้ว..เรื่องพวกนี้ก็เป็นมีแต่ในนิยาย"
      "มีนิยายเรื่องไหนที่ใครทนเห็นครอบครัวล้มละลายได้ไปต่อหน้าต่อตา.."
      "แสดงว่าตัดสินใจแล้ว?"
      "ใช่.."

      การกินไอ้ติมที่รสชาติเดียวกันทั้งโลกในครั้งนี้จึงไม่อร่อยเท่าที่ควร

      สาวน้อยเชียร์ไอ้ติมแต่งตัวหน้าเอ็นดูเข้ามาทักทายเราสองคนด้วยคำถามเหมือนกับทุกครั้งว่า
      "ไอ้ติมอร่อยไหมคะ?" ทำให้การสนทนาของเราสะดุดความเงียบลงเล็กน้อย
      เมื่อตอบกลับไปว่าอร่อย(ก็ได้)แล้วเราก็เงียบกันต่อ
      สิ่งที่อยู่ในหัวใจของเราทั้งสองหนักอึ้งเกินกว่าจะทยอยเอาออกมาง่าย ๆ
      ไม่รู้หรอกว่าเธอคิดอย่างไร แต่รู้ว่าตัวเองคิดอย่างไร
      เฉือนเนื้อทิ้งกันไปสด ๆ คงจะเจ็บปวดน้อยกว่า

      "วันนี้ลองคุยกับเขาใหม่หรือยัง?"
      ในที่สุดก็ต้องทำลายความเงียบขึ้นเอง
      "ยังค่ะ"
      "ทำไมครับ?"
      "เขาไม่รับสาย"
      "คงยังไม่หายโกรธ"
      เธอพยักหน้า หลบสายตาไปที่ถ้วยไอ้ติมที่เละเทะถ้วยนั้นต่อไป
      "จะบอกผมไม่ได้เหรอว่า..เขาเข้าใจผิดเรื่องอะไร ถึงได้โกรธขนาดนี้?"
      "ก็หึงหวง"
      "ไปทำอะไรให้เขาหึงหวง?"
      "มีแมสเสดเข้ามาที่เครื่อง"
      "จากใคร?"
      "เพื่อนเก่า"
      "เพื่อน?"
      เธอมองหน้า..แววตาระริกเหมือนจะตัดสินใจ
      "ก็ได้..บอกรันก็ได้..เขาเป็นแฟนเก่าของริน"
      "ว่าแล้ว.."

      อุทานได้แค่นั้นก็ต้องเงียบไป
      ระหว่างนั้นก็สงสัยว่าตัวเองเป็นตัวอะไรกันแน่ในละครน้ำหอมเรื่องนี้
      เธอมีทั้งแฟนเก่าและแฟนใหม่
      ไอ้เรามันก็แค่ "กิ๊ก" ของเธอเท่านั้น
      ไอ้ติมไม่อร่อยเลยจริง ๆ

      "เขาส่งข้อความมาว่าอะไร?"
      "ยังรักและรอเสมอ"
      "เป็นผมเห็นข้อความนี้ในมือถือแฟนก็คงโกรธเหมือนกัน"
      "แต่รินไม่ได้มีอะไรกับเขาแล้วจริง ๆ"
      "ใครจะเชื่อ"
      "แม้แต่รันก็ไม่เชื่อหรือ?"
      คำถามนี้เธอถามเหมือนจะจริงจังจนต้องมองตาของเธอ
      แหะ..แค่ดูเหมือนเท่านั้น
      "ถึงแม้ผมจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ไม่มีประโยชน์อะไรไม่ใช่หรือ?"
      สีหน้าของเธอเปลี่ยนไปวูบหนึ่ง..
      เธอคงคิดได้ว่าคนที่ไม่เกี่ยวข้องก็คือคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าเธอนี่แหละ
      "รินเชื่อว่าเขารักรินไหมครับ?"
      "แฟนเก่า?"
      "ไม่ใช่..คนที่กำลังมีปัญหาอยู่นี่แหละ"
      "ไม่รู้.."
      "อ้าว"
      "เขาดูเหมือนว่ารัก รักมาก..แต่เมื่อเขาโกรธและไม่ได้ดังใจ..บางครั้งดูเหมือนเขาจะเกลียดรินเสียด้วยซ้ำ"
      "แต่รินไม่ได้รักเขา?"
      "ใช่..รินไม่ได้รักเขาเลย"
      "แล้วแฟนเก่า?"
      เธออึ้ง..
      "เรื่องมันจบไปแล้ว..เราคุยกันจนเข้าใจ.."
      "รินรักเขาไหม?"
      เธอพยักหน้า..
      "แล้วผมล่ะ..รินรักผมไหม?"

      คำถามสุดท้ายไม่ได้พูดออกไป
      มันดังก้องตุงไปตุงมาอยู่ในหัวใจ
      อยากรู้เหลือเกินว่าเธอรู้สึกต่อเราอย่างไร
      แค่เพื่อนคนหนึ่งจริง ๆ ?

      "รันไม่เคยมีแฟนบ้างเหรอ?"
      อยู่ ๆ เธอก็ยิงคำถามนี้มาจนหลบไม่ทัน
      "โอย..เยอะแยะ" ต้องยกมือป้ายปากเพื่อปกปิดอาการโกหกเหมือนเช่นทุกครั้ง
      "ทุกวันนี้ก็ยังมีอยู่?"
      "อือม์"..
      "ไม่เห็นแนะนำให้รู้จักบ้างเลย..เธอไม่ว่าเอาเหรอที่มาคุยกับรินบ่อย ๆ"
      "คนนี้เขาแฟร์มากครับ..เราเข้าใจกันดี"
      "น่าอิจฉาจริง ๆ"

      การโกหกหลอกลวงเป็นเรื่องที่ทุกศาสนาห้ามไว้
      แต่จะทำอย่างไรในเมื่อสถานการณ์มันบังคับถึงขนาดนี้
      ถึงแม้จะผิดศีลจนตกนรกก็ต้องจำยอม
      เพื่อหวังให้เธอสบายใจในการที่จะทำอะไรตามที่ตั้งใจ
      การโกหกเพื่อให้ทุกอย่างมันดีขึ้นอย่างนี้..
      ขอขุมที่สี่แล้วกันนะครับ
      ซ้าทุ..

      Last Update : 16 สิงหาคม 2548 11:33:05 น. 4 comments

      การที่จะช่วยเธอนั้นคงต้องมีคำแนะนำที่ดีให้เธอ
      คำแนะนำที่ดีที่นอนคิดมาทั้งคืนยังไม่ได้ถูกพูดออกมา
      บางทีอารมณ์มันก็ไม่ให้..ผู้หญิงคนที่อยู่ตรงหน้าเธอไม่ได้รักเราเลย
      ทั้งที่เรารักเธอมากมาย..มากมายเกินกว่าจะบรรยาย
      ก็มันเศร้าน่ะ..เศร้าขนาดนี้แล้วใครจะมีแก่ใจแนะนำอะไรออกมาได้
      ขอทำใจสักพัก

      "วันนี้รันดูโทรม ๆ"
      ขอบคุณที่สังเกต
      "นอนน้อยก็ยังงี้แหละครับ"
      "เพราะริน?"
      "เปล่า.." รีบปฏิเสธ "ลองอ่านนิยายมั่งน่ะ..อ่านแล้วก็วางไม่ลง..เพลินดี"
      เธอพยักหน้ารับทราบ..
      รับทราบการโกหกอีกครั้ง
      วันนี้โกหกเป็นครั้งที่เท่าไรแล้วนี่
      เอาไปซื้อหวยคงถูก
      "แล้วรินคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไป?"
      "รินยังไม่รู้เลย..คงจะคุยกันอีกครั้ง..ขอร้องเขา"
      "คิดว่าจะสำเร็จไหม?"
      "ไม่แน่ใจ..แต่รินจะพยายาม.."
      "เพื่อคุณพ่อ?"
      "ใช่"
      คำตอบนี้ทำให้เกือบจะแค่นหัวร่อออกมา
      มนุษย์กตัญญูอย่างนี้ยังมีอยู่ในโลกอีกหรือ?
      นี่ถ้าคุณพ่อของเธอขอให้เธอขายตัวเธอคงทำ?
      "เพี๊ยะ.."
      "รันตบหน้าตัวเองทำไม?"
      "แมลงน่ะ..มันมาเกาะที่แก้ม"
      จริง ๆ แล้วตบตัวเองเพื่อลงโทษในความคิดอุบาทว์นั้นต่างหาก

      "อย่างนี้ดีไหม?" แล้วในที่สุดวิธีที่ควรจะได้ผลก็ถูกพูดออกมา
      "รินโทรไปหาแฟนเก่า..อธิบายให้เขาเข้าใจ..แล้วขอให้เขาเคลียร์กับแฟนปัจจุบันของรินให้รู้เรื่อง"
      "เอาอย่างนั้นเลยหรือ?"
      "ก็น่าจะเป็นวิธีการเดียวที่จะทำให้เขาเชื่อว่ารินกับแฟนเก่าไม่มีอะไรแล้วจริง ๆ"
      "รินเกรงใจเขา.."
      "ถ้าหมายถึงแฟนเก่าล่ะก้อไม่ควรต้องเกรงใจ เขาเองต่างหากที่เป็นต้นเหตุของเรื่องนี้ อยู่ ๆ ก็ส่งข้อความนั้นมา"
      รินนิ่งเงียบ..คงจะตัดสินใจ
      "ถ้ารินไม่กล้าให้ผมคุยแทนให้ก็ได้..ผมเชื่อว่าแฟนเก่าของรินจะมีเหตุผลพอ"
      "เอาอย่างนั้นเลยหรือ?"
      เธออุทานออกมาอีกครั้งด้วยสีหน้าน่าสงสาร

      แฟนเก่าของรินชื่อพัฒน์
      รับสายด้วยเสียงงงงวย
      "ผมไม่รู้ว่าจะทำให้มีปัญหาถึงขนาดนั้น" เมื่อรู้เรื่องเขาก็พูดประโยคนี้ออกมา
      "ผมเข้าใจ" โทรศัพท์ของรินอยู่ในมือผม
      มันแนบอยู่ที่แก้ม..กลิ่นหอมยังโชยเข้าจมูก
      อย่างน้อยก็ได้รู้สึกว่าแก้มเราแก้มเธอมาชนกันแล้วล่ะนะ
      โชคดีที่สุดแล้วนะนี่???

      พัฒน์ขอเบอร์แฟนของรินไป
      เขายินดีที่จะช่วยเธอ
      ยังมีผู้ชายอย่างน้อยอีกหนึ่งคนที่ทำเพื่อเธอ
      หรือผู้ชายทุกคนพร้อมที่จะทำเพื่อเธอ?
      มีแต่เธอเท่านั้นที่ไม่ยอมทำเพื่อใคร
      นอกจากคุณพ่อของเธอคนเดียว??
      ชักไม่แน่ใจ!!

      พักเดียว..โทรศัพท์ของรินก็ดังขึ้น
      เธอมองที่หน้าจอ..ตกอกตกใจ
      "เขาโทรมา"
      "ก็รับสิครับ..คุณพัฒน์คงโทรไปคุยให้แล้ว"
      "เขาจะว่าอย่างไรล่ะนี่?"
      "จะรู้ได้อย่างไรถ้าไม่รับโทรศัพท์?"
      รินรับสาย..
      สีหน้าของเธอเปลี่ยนไปมาจนยากจะเดาถูก

      หลังวางหู..เธอทำตาแดง..
      "เขาโกรธหนักขึ้น.."
      "อ้าว.."
      "เขาขอให้รินนัดพัฒน์มาให้เจอกับเขา..ตกลงกันให้รู้เรื่อง"
      "ก็ดีไม่ใช่หรือ?"
      "รินกลัว.."
      "กลัวอะไร?"
      "เขาไม่เหมือนคนอื่น เวลาโมโหเขาก็เหมือนอันธพาลคนหนึ่ง"
      "เขาคงไม่ถึงกับทำร้ายใครหรอกมั๊ง"
      "รินกลัว.."
      "งั้นผมไปเป็นเพื่อน"
      "จะยิ่งไปกันใหญ่หรือเปล่า?"
      "งั้นผมจะดูอยู่ห่าง ๆ ว่าแต่ว่าคุณพัฒน์จะยอมไปหรือ?"
      "รินไม่รู้.."

      พัฒน์ไม่ยอมไป
      เขาขี้ขลาดเกินไป..
      เขารักรินน้อยเกินไป..

      "งั้นผมเป็นพัฒน์ให้เอง.."
      เธอทำตาลุก
      "เขาไม่เคยเห็นกันมาก่อนไม่ใช่หรือ?"
      "ใช่.."
      "งั้นโทรนัดเขาได้เลย.."
      "รัน.."
      "ไม่เป็นไรหรอก..ผมเล่นละครเก่งมานานแล้ว.."
      เธอมองหน้าผมนิ่ง ขบริมฝีปาก
      "ขอบคุณนะคะ.."
      "ไม่เป็นไร.."

      คงจะโกหกถ้าหากจะบอกว่าไม่รู้สึกกลัวที่จะต้องเผชิญหน้ากับแฟนของริน
      กิติศัพท์เกี่ยวกับการเป็นอันธพาลของเขาเป็นที่รับรู้กันทั่วไป
      ไอ้จ้วงถึงกับอาสาจะไปเป็นเพื่อนกระซิบบอกเสียงลั่นทุ่งว่าข้าจะยืมปืนพ่อไปด้วย
      ไอ้สุดเดชที่ตอนนี้ถูกเปลี่ยนชื่อเป็นนายส่งเดชก็มีน้ำใจไม่แพ้กันบอกว่าจะชวนชาวมอฯไซค์รับจ้างยกโขยงไปคุมเชิงให้
      ยังมีอีกหลายไอ้ที่พยายามห้ามพร้อมด่าว่าเอ็งโง่หรือบ้ากันวะนี่
      และยังมีอีกหลายไอ้ที่ไม่ออกความเห็นอะไรนอกจากบอกว่าเรื่องศาลาตั้งศพพวกมันจะช่วยจัดการจองให้เอง
      ไอ้พวกนี้มันเป็นเพื่อนประสาไรว๊า!!


      รินเองก็ใช่ว่าจะสบายใจ
      เธอเป็นห่วงจนสร้างความสุขเล็ก ๆ ให้เกิดขึ้นได้บ้าง
      ขอแค่เธอมีน้ำใจที่จะเป็นห่วง ก็ถือว่าความรักที่มีได้รับการตอบสนองแล้ว
      ความรักทำให้ผู้คนโง่งมจริง ๆ
      อันนี้ขอยืนยัน

      วันนัดมาถึง
      เรานัดกันไว้ตอนหนึ่งทุ่ม..นัดกันที่ห้องคาราโอเกะใต้ถุนโรงแรมแห่งหนึ่งแถว(-:
      (มีเซ็นเซอร์ด้วยแฮะ)
      อยากจะรู้เหตุผลเหมือนกันว่าทำไมต้องนัดที่นั่น..แต่ตอนนั้นประสาทเบลอไปหน่อยเลยไม่ทันถาม
      รินเพิ่งจะมาบอกว่าเป็นโรงแรมของคุณพ่อของเขานั่นเอง

      เราสามคนนั่งเผชิญหน้า อีกสามสี่คนที่คงเป็นสมุนของตัวโกงซึ่งเราจะเห็นได้ตามละครทุกช่อง ยืนกอดอกบ้างกอดคอบ้างอยู่ด้านหลัง
      แฟนของริน..ที่ถูกเรียกว่า "เขา" มาตลอด..หน้าตาตี๋พอใช้
      จะว่าไม่หล่อก็ไม่เชิง..พอดูได้..พอใช้ไปซื้อไอ้ติมได้
      แต่แต่งตัวดี..เสื้อเรียบกริบ..ยี่ห้อไรไม่ทันสังเกต
      อุปกรณ์แต่งตัวครบครัน ทั้งมือถือสองเครื่อง สร้อยคอเส้นเบ้อเริ่ม นาฬิกาเรือนงาม แหวนเพชรเม็ดเท่าไข่ห่าน
      หันมามองดูตัวเอง..ก็สมควรให้เขาใช้สายตาเหยียดหยามอย่างนั้นมองอยู่
      ไม่มีอะไรเล้ย..แค่เชิร์ตกับยีนส์ และรองเท้าแตะเปิดส้น
      โทรศัพท์ถูกเก็บไว้ในกระเป๋ากางเกงด้านหลัง
      อายเขา..ถ้าจะเอาออกมาวางโชว์บนโต๊ะกระจกใสตรงหน้า

      ไม่มีคำทักทายจากใคร ไม่มีใครพูดอะไรออกมา
      รินเองก็นั่งเม้มริมฝีปาก สีหน้าไม่ค่อยมีสีเลือดเหมือนปกติ
      แล้วเธอในฐานะคนกลางก็พูดขึ้น
      "นี่ไงคะ..พัฒน์ คนที่คุณอยากพบ"
      เขาที่ยังไม่รู้ชื่อ..มองหน้าคนนั่งตรงข้ามด้วยสายตายากจะเข้าใจ
      มันเต็มไปด้วยลับลมคมใน..ยิ่งยิ้มที่ตรงริมฝีปาก ยิ่งทำให้ใจหาย
      หมอนี่เหมาะจะเล่นเป็นตัวโกงจริง ๆ
      "คุณน่ะหรือ..แฟนเก่าของริน"
      ใจที่เต้นตึกตัก ถูกผ่อนคลายด้วยการเอนหลังพิงพนัก อยากจะยกขาขึ้นไขว่ห้างซะด้วยซ้ำ แต่มันยกไม่ขึ้น
      "ผมเอง.."
      "ดี.."

      ลูกน้องคนหนึ่งของเขาถูกพยักหน้าเรียก..
      "จะดื่มอะไรกันดี?"
      รินส่ายหน้า..
      "แล้วคุณล่ะ?"
      "ไม่ดีกว่าครับ.."
      "อ๋าย..ต้องดื่มกันนิดหน่อยล่ะ..งั้นไปเอาเบียร์มาสองแก้ว เอาโค้กให้คุณผู้หญิงแก้วหนึ่ง.."
      เป็นการพูดลักษณะฝืดฝืนให้เกิดความเป็นกันเอง...ที่จับได้เพราะสีหน้ากับการพูดจาไปกันคนละเรื่องเลย

      เครื่องดื่มมาเสิร์ฟเร็วราวกับถูกเตรียมไว้นานแล้ว เราต่างจิบกันไปคนละนิด ส่วนเขาล่อเสียครึ่งแก้ว
      เบียร์เปลี่ยนสีหน้าของเขาให้แดงขึ้นอย่างรวดเร็ว
      ส่วนจะเปลี่ยนนิสัยให้เลวร้ายอย่างไร ยังไม่รู้

      ลูกน้องสามสี่คนของเขาถูกให้ออกไปนอกห้อง
      ในที่สุดเรื่องสำคัญก็จะเริ่มต้นขึ้นแล้ว
      หัวใจเต้นตึกตักแทบทะลุออกมานอกอก
      ภาวนาอยู่ว่าให้มันจบ ๆ ไปเสียที

      "วันก่อนคุณโทรฯหาผม?"
      เขาเริ่มต้น..เสียงเครียดจากเมื่อครู่นี้อย่างเห็นได้ชัด
      "ครับ"
      "คุณบอกว่าคุณไม่มีเจตนาจะทำให้ผมกับรินทะเลาะกัน?"
      "ครับ"
      "แล้วคุณส่งข้อความปัญญาอ่อนนั้นมาทำไม?"

      คำถามนี้ทำให้ต้องเอนหลังพิงเบาะ..ทั้งที่เตรียมคำตอบไว้แล้วยังอดไม่ได้ที่จะตะกุกตะกัก
      "ก็..ผมต้องขอโทษด้วย..ผมแค่คิดถึงรินมากเท่านั้น"
      "คิดถึงเหรอ?.." เขาแค่นเสียง..
      "และคุณรออะไรไม่ทราบ คุณจะรอให้รินเลิกกับผมให้ได้เพื่อคุณจะไปอยู่ด้วยกันใช่ไหม?.."
      "มันก็แค่คำ ๆ หนึ่ง..เพื่อจะบอกให้รินรู้ว่าผมยังรักรินอยู่เสมอ"
      "คุณแอบบอกกันมากี่ครั้งแล้ว?"
      "แค่ครั้งเดียว.."
      "ใช่ค่ะ..เราไม่เคยติดต่อกันอีกเลย.." รินช่วยสนับสนุน
      แต่หมอนั่นกลับทำหน้าน่ากลัว คำรามเสียงต่ำ
      "ผมไม่เชื่อ..."

      บรรยากาศการสนทนาราวอยู่ในห้องคับแคบสุดแสนอึดอัด
      แอร์เย็นฉ่ำไม่ได้ช่วยทำให้เหงื่อที่ออกเต็มแผ่นหลังเหือดแห้งไปได้
      สถานการณ์ของคนที่ตกอยู่ในสถานะคนที่ลักลอบจีบแฟนคนอื่นแล้วถูกจับได้เป็นอย่างไรนั้นก็สุดจะบรรยาย
      รู้แต่ว่าเกร็งไปทั้งตัว..และลุ้นว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป

      "เสียแรงที่ผมรักคุณมาก..ทุ่มเทให้ทุกอย่าง.."
      เขาหันไปทางริน
      "คุณไม่น่าทำผมขนาดนี้"
      "รินทำอะไร? รินไม่ได้ทำอะไรเลยสักอย่าง.." เธอพยายามเถียง
      "นี่หรือเรียกว่าไม่ได้ทำ..คุณแอบติดต่อกับแฟนเก่าของคุณมากี่ครั้งกี่หน..ถ่านไฟเก่าคงลุกโชนซ้ำแล้วซ้ำเล่าล่ะสิท่า"
      รินโกรธจนน่าซีด
      "คุณอย่าหยาบคายกับฉันต่อหน้าคนอื่น.."
      "จี้ใจดำน่ะสิ.." เขาก็สวนทันที

      เรื่องจะไปกันใหญ่
      "คุณเรียกผมมาเพื่ออะไรกันแน่?"
      จึงจำเป็นต้องขัดออกไปด้วยคำถามนี้
      เขาหันขวับมาทางผม..ดวงตาน่ากลัวยิ่งขึ้น
      สีหน้าขึ้งเครียด..แต่แล้วอยู่ ๆ ก็ผ่อนคลายขึ้นมาเฉย ๆ
      แล้วหัวเราะเสียงดังออกมา
      "ปล๊าว..แค่อยากเห็นหน้า"
      "แล้วยังไง?"
      "ไม่ยังไงหรอก..ฉันแค่จะแสดงให้นายเห็นเท่านั้นว่า..ถึงอย่างไรรินก็ต้องเป็นของฉัน.."
      "แสดงยังไง?"
      เขายิ้มด้วยสีห้ากวน(-:ที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา
      (ระบบกรองคำหยาบทำงานได้ดีจริงนะ)
      เขายังไม่ตอบ..ยกเบียร์ขึ้นดื่มจนเกลี้ยงฉาด
      จึงจำเป็นต้องยกดื่มบ้าง..เรื่องเบียร์ไม่เคยเป็นรองใครอยู่แล้ว
      “กินเก่งเหมือนกันนี่..”
      ยิ้มให้กับคำชมที่ไม่จริงใจนั้น..
      “ผมอยากให้คุณฟังผมให้ดี..”
      เขาเลิกคิ้ว..สีหน้ายียวนไม่คลาย
      “ว่ามา..”
      “รินรักคุณ..คุณรู้หรือเปล่า?”
      “แน่นอนอยู่แล้ว..”
      “ผมถามใหม่..คุณรู้หรือเปล่าว่ารินรักคุณหรือไม่?”
      คำถามนี้ทำให้เขาเปลี่ยนสีหน้า
      “นายหมายความว่าไง?”
      รู้สึกผิดที่ถามคำถามนั้นไป..จึงจำเป็นต้องหัวเราะกลบเกลื่อน
      ลืมไป..เรามาเพื่อให้เขาและเธอคืนดีกันนี่นา
      “เธอรักคุณมาก..คุณรู้หรือเปล่า?”
      “แน่นอนอยู่แล้ว..คนอย่างฉันมีแต่คนรักทั้งนั้น..”
      ลมจากเบียร์ตีขึ้นจนเรอดังเอิ้กซ์
      “นายไม่เชื่อ?”
      กลืนเรอที่เหลือนั้นลงกระเพาะ ส่ายหน้า
      “ทำไมจะไม่เชื่อ ก็รินบอกผมเองว่าเธอรักคุณ ผมจึงปล่อยให้เธอมาคบกับคุณนี่ไง”
      เขาหัวเราะ
      “จริงหรือ?”
      “จริงสิ”
      “คุณก็รักเธอมากไม่ใช่หรือ แล้วทำไมถึงยอม?”
      “เพราะรักมากไง..จึงต้องยอมทุกอย่าง แม้ว่าสิ่งนั้นจะคือการที่ไม่มีเธออีกแล้วในชีวิต..”
      “พูดเหมือนยี่เก”
      “นี่คือเรื่องจริง..” เบียร์แก้วนั้นทำให้คอนโทรลคำพูดไม่ค่อยได้
      “ผมรักริน..รักมากตั้งแต่แรกเห็น..” คงเป็นคำพูดที่ฝังอยู่ในหัวใจนานแล้ว มันจึงพรั่งพรูออกมาอย่างสุดกลั้น
      มองไปทางรินให้เธอได้รับรู้
      “รักจนยอมได้ทุกอย่าง..แม้แต่ชีวิตก็ยอมให้ได้”
      เขาหัวเราะ..แล้วตะโกนเรียกลูกน้องให้เสิร์ฟเบียร์แก้วที่สองให้คนสองคน
      มันถูกยกขึ้นดื่ม..เกลี้ยงหายไปในเวลาอึดใจเดียว
      แล้วเขาก็หันไปทางริน
      “คุณล่ะ..รักเขามากเหมือนกันล่ะสิ?”
      รินอึกอัก..มองมาด้วยสีหน้าที่สุดจะบรรยาย
      นี่จะมาทำลายความรักของเธอหรือจะช่วยเธอกันแน่?
      เราเองก็ชักไม่แน่ใจ
      “เธอไม่รักผมหรอก..”
      เขานิ่งฟัง..หน้าแดงกร่ำเพิ่มขึ้น
      “เธอรักคุณมากกว่า..การพบกันครั้งนี้ก็น่าจะพิสูจน์ได้แล้วว่าเธอแคร์ใคร”
      เขาหัวเราะเสียงดัง..คำพูดนี้เขาคงชอบใจ..ความขมปร่าเกิดขึ้นที่โคนลิ้น..เบียร์ยี่ห้ออะไรนี่?
      แต่ยังพูดต่อไป
      “ผมมาวันนี้เพื่อยืนยันคำนี้..ว่ารินรักคุณ..อย่างไรก็ไม่แปรเปลี่ยน..ฉะนั้น..คุณเลิกระแวงเธอได้แล้ว”
      เสียงหัวเราะเขาดังยิ่งขึ้น..
      ในขณะที่โลกทั้งโลกโคลงเคลง..
      “เอ๊ะ!”

      สิ่งที่เกิดขึ้นต่อมาเป็นความรู้สึกที่เลื่อนลอยคล้ายจริงคล้ายฝัน
      รินถลาเข้ามาประคอง..เขย่าให้สติสะตังคืนมา..แต่ไร้ผล
      ร่างกายเบาโหวงโคลงเคลง..เรี่ยวแรงเหือดแห้งไปหมดสิ้น..
      เขายื่นหน้าเข้ามากระซิบ..
      “ฉันจะบอกอะไรให้นายรู้..รินไม่ได้รักฉัน..เขารักเงินของพ่อฉัน..เขายอมคบกับฉันก็เพราะเงินอย่างเดียว..”
      “ไม่จริง..” พูดคำนั้นออกไปแล้ว..แต่ทำได้แค่ปากขมุบขมิบ..
      “เพราะฉะนั้นวันนี้..นายจะได้เห็นทุกอย่าง..เห็นว่าถึงอย่างไรเธอก็ต้องเป็นของฉัน..”
      รวบรวมพละกำลังที่มี..แต่ไร้ผล
      “หลังจากนั้นฉันจะคืนเธอให้กับนาย..เป็นรางวัลที่นายรวมหัวกันหลอกลวงฉัน..”
      เสียงหัวเราะของเขาดังขึ้นอย่างสะใจ
      ท่ามกลางความเลอะเลือนของสติสัมปชัญญะที่ควบคุมแทบไม่ได้

      รินน้ำตานองหน้า..
      ด้วยสายตาที่ริบหรี่นั้นยังพอมองออก..
      เธอช่วยตัวเองด้วยการพยายามจะวิ่งหนี..
      เธอตะโกนขอความช่วยเหลือ
      เปล่าประโยชน์..มันย่างสามขุมเข้าหาเธอ
      จะหนีไปไหนได้ในห้องที่คับแคบและถูกล๊อคประตูจากด้านนอกไว้อย่างนั้น...
      เธอถูกเหวี่ยงลงบนโซฟายาวนุ่ม
      “ถ้าเธอแจ้งความ..บ้านของเธอจะไม่เหลือให้ซุกหัวนอน...พ่อของเธอจะติดตะราง!!”
      “อย่าทำฉัน..”
      เธอพูดได้เพียงเท่านี้..

      ไม่เคยคิดเคยฝันว่าเรื่องจะเลวร้ายได้ถึงเพียงนี้
      เบียร์สองแก้วนั้นมีตัวยาที่ทำให้เรี่ยวแรงสูญสิ้น..สติเลอะเลือน
      ความเลวของคนในยุคนี้..สามารถเป็นไปได้ในระดับที่สุดจะคาดเดา
      มันต้องการจะข่มขืนแฟนสาว..ต่อหน้าคนที่มันคิดว่าเป็นแฟนเก่าของเธอ
      ซึ่งนอนไร้เรี่ยวแรงอยู่อย่างนี้
      ทำได้แต่เพียงเบิ่งตา..รับรู้การปฏิบัติกามโฉดของมัน!!

      รินร้องไห้จนตัวสั่นสะท้าน
      สาวน้อยร่างงามกำลังถูกปู้ยี่ปู้ยำจากอสูรร่างยักษ์
      มันฉีกเสื้อของเธอ..ดวงตาลุกวาวด้วยโรคจิตกำเริบ..
      โผเผลุกขึ้น..มันเหวี่ยงแขนมาทีเดียวก็ถลาล้มไม่เป็นท่า
      พยายามอีกหลายครั้ง..แต่ทำไม่ได้
      “เอ็งดูซะ..ว่าคนที่เอ็งรัก..จะมีลีลาถึงพริกถึงขิงแค่ไหน..ฮ่าฮ่าฮ่า..”

      ท่ามกลางเสียงกรีดร้องและเสียงหัวเราะอันกักขฬะนั้น
      ภาพที่เห็นตรงหน้ากดดันให้น้ำตาไหลอย่างไม่รู้ตัว
      ดูทีหรือ..คนที่เรารัก..กำลังถูกทำลายต่อหน้า..เราไม่มีปัญญาจะช่วยเธอเลยหรือ..
      ยอมไม่ได้..อย่างไรก็ยอมไม่ได้!!

      ลมหายใจแทบขาดห้วง..ขณะรวบรวมกำลังเป็นครั้งสุดท้าย
      ถีบโครมไปที่ร่างที่คร่อมกดเธอไว้นั้นอย่างสุดแรง
      ผลเป็นอย่างไรไม่รู้ เพราะร่างทั้งร่างถลาตามแรงถีบนั้นไปด้วย
      เรากลิ้งไปด้วยกัน ทั้งมือทั้งเท้าซัดใส่มันเต็มที่
      มันสวนเปรี้ยงเดียวหน้าสะบัด..เจ็บไปถึงขั้วหัวใจ
      มันใช้มือกดคอ..ชักปืนมาจ่ออยู่ที่หัว..
      "เอ็งอยากตายมากใช่ไหม.."
      ยิ้มให้กับคำถามนั้นของมัน..
      "ยิงสิวะ.."
      มันจะได้ยินหรือเปล่าไม่รู้..ลิ้นและคอชาด้าน
      หวังเพียงให้เสียงปืนนัดนั้นเรียกคนมาช่วยเธอ
      หรืออย่างน้อยการฆ่าคนตายคงจะทำให้มันหมดอารมณ์ที่จะข่มขืนใคร
      ชีวิตนี้พลีเพื่อเธอได้อยู่แล้ว

      ก่อนปืนจะลั่น..รินกระโดดลอคคอจากด้านหลังของมัน ทิ้งทั้งตัวจนมันหลุดจากร่างที่มันจ่อปืนไว้
      มันโกรธยิ่งขึ้น..สะบัดจนร่างของเธอถลาไปกระแทกผนัง
      มันกระโจนตาม..เงื้อปืนในมือแล้วตบเปรี้ยง..
      เธอกองอยู่กับพื้น..เงยหน้าที่มีเลือดกลบปากมองมัน สายตาวิงวอน..
      "ฉันยอมแล้ว..อย่าฆ่าเขาเลย..ฉันยอมทุกอย่าง.."
      มันยืนหายใจหอบแรง
      เธอถอดเสื้อที่แหว่งวิ่นออกจากร่างกาย
      "ฉันรักเขา..ฉันรักเขา..ฉันยอมแล้ว..อย่าทำเขาเลย"

      มันแหกปากหัวเราะ..
      กระโดดเข้าหาเธออย่างหื่นกระหาย
      เธอหยุดดิ้นรน..มีเพียงสายตาที่ส่งมาพร้อมหยาดน้ำตา
      "รินรักรัน.."
      ริมฝีปากนั้นขยับเป็นคำพูดที่พุ่งตรงสู่หัวใจ..
      หัวใจของผู้ชายที่นอนสิ้นเรี่ยวแรงอยู่กับที่..

      แล้วโลกกระแกว่งอีกครั้ง เมื่อประตูห้องถูกเปิดโครม..ผู้คนนับสิบกรูเข้ามา
      หนึ่งในนั้นมีไอ้ส่งเดชเพื่อนรัก
      "ทันหรือเปล่าวะ..ไอ้รัน"
      ตอบมันได้เพียงรอยยิ้ม..
      ยิ้มสีแดงสดที่ทะลักออกมาจากปาก
      "ข้าฟังทางโทรศัพท์ที่เองเปิดทิ้งไว้ เห็นท่าไม่ดีก็เลยแจ้งตำรวจมานี่แหละ.."
      ได้ยินเพียงเท่านั้นทุกอย่างก็ดับวูบ..
      แต่ยังคงมีประโยคหนึ่งที่ก้องอยู่ในใจ
      "รินรักรัน"

      .......

      เปิดเทอมนานแล้ว..
      นี่ก็ใกล้จะปิดเทอมอีกที
      ขณะที่เขียนเล่าอยู่นี่..ก็ร้อนตับจะแตกม้ามจะหลุดเสียให้ได้
      เมื่อตะกี้รินก็โทรฯ มา
      เย็นนี้ว่าจะไปดูหนังกันสักเรื่อง
      เรื่องอะไรนะ?..ผีเฮี้ยนกำลังสองอะไรนั่น
      จะสนุกหรือเปล่าไม่รู้แหละ..ขอแค่ได้นั่งเคียงข้างเธอ
      เธอที่ไม่ชอบดูหนังผี..ดูทีไรต้องปิดตาซุกหน้าลงบนบ่าเราทุกทีเวลาผีเล่นจ๊ะเอ๋
      เราเลยชอบดูหนังผีด้วยประการฉะนี้..

      "รินรู้ตัวว่ารักรันตั้งแต่เมื่อไร.."
      ขณะนอนรักษาตัวอยู่ที่บ้าน..หมอล้างท้องไปสองสามรอบ
      คำถามนี้เกิดขึ้นขณะเธอมานั่งอยู่ข้าง ๆ
      "ไม่รู้ตัวเหมือนกัน..อาจจะเป็นวันที่รันรับจะเป็นพัฒน์ให้นั่นละมั้ง.."
      "ทำไม?"
      "ถ้ารันไม่รักริน..รันคงไม่เสี่ยงขนาดนั้น.."
      "แน่ใจขนาดนั้นเชียวหรือ?.."
      เธอพยักหน้า ดวงตาหวานฉ่ำหลบวูบวาบไปมา
      "แม้แต่พัฒน์ที่รินเคยแน่ใจว่าเขารักรินมาก..เขายังไม่ยอมจะช่วยรินเลย..แล้วรันเป็นใคร..รู้จักกันแค่ไม่กี่เดือน รันเสียสละให้รินได้ขนาดนั้น.."
      มือที่ว่างอยู่ถูกยกขึ้นมอง..
      มันว่างเกินไปเลยต้องหาอะไรมาจับ
      เป็นมือนิ่มอุ่นของเธอ
      "แสดงว่ารินก็รู้มานานแล้วว่ารันรักริน.."
      "อือม์.."
      "ไม่บอกให้รู้บ้างเลย..รันเกือบฆ่าตัวตายไปหลายครั้งแล้ว..รู้ไหม?.."
      "ก็รินบอกรักใครไม่ได้นี่นาตอนนั้น.."
      "ตอนนี้บอกได้แล้วสิ.."
      เธอพยายามดึงมือ..เลยถูกมาวางไว้ตรงอกเสียเลย
      "บอกให้ฟังอีกทีได้ไหม..บอกให้หัวใจดวงนี้ได้ยินอีกที..."
      เธอส่ายหน้า..เม้มปาก..แก้มแดงเป็นริ้ว..
      "ยัง!.." เป็นเสียงขู่..
      "จะบอกหรือไม่บอก?!" ต้องขู่ซ้ำ
      "รินรักรันค่ะ.."
      ชื่นใจที่สุดเลย...

      รินและพ่อยอมถอนแจ้งความแลกเปลี่ยนกับการยกหนี้ก้อนโตนั้นให้โดยไม่มีข้อแม้
      ถึงกระนั้นมัน(ไอ้ตัววิปริตนั่น) ก็ถูกดำเนินคดีในข้อหาพกปืนในที่สาธารณะอยู่ดี
      รินและครอบครัวเป็นอิสระจากพันธการนั้นไปได้ด้วยความโชคดี
      ซึ่งถ้าไอ้ส่งเดชมาช้าไปหน่อยเดียวเธอคงต้องแลกด้วยความสาวของเธอไปแล้ว
      พ่อของไอ้หมอนั่นต้องการรักษาหน้าของตัวเองมากกว่าต้องการก้อนหนี้ก้อนนั้น
      นักการเมืองมักจะมีหน้าให้รักษาเสมอ
      จะเรียกว่าหน้าหนาหรือหน้าบางดีนะ?
      พวกเราว่าไง?
      +++++
      ++++
      +++
      ++
      +


      ++++++++++++++++จบคับ+++++++++++++++++

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×